การรักษาโรคหัวใจเต้นพริ้ว
มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาอาการและลดภาวะแทรกซ้อน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการลดอัตราตายและอัตราการเข้าโรงพยาบาล โดยมีวิธีการหลายอย่างดังนี้
- ค้นหาและรักษาสาเหตุการเกิดโรคหัวใจเต้นระริก
- ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ
- ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
- ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและลดอัตราการเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตัน
การรักษาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรักษาด้วยยา การเปลี่ยนจังหวะการเต้นหัวใจ การจี้รักษา และการผ่าตัดหัวใจ การจะเลือกรักษาวิธีใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอายุ ประวัติการเจ็บป่วย อาการแสดงของผู้ป่วย ชนิดของโรคหัวใจเต้นระริก ระยะเวลาในการเกิดหัวใจเต้นพริ้ว และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
การคุมอัตราการเต้นหัวใจ
การคุมอ้ตราเต้นหัวใจห้องล่างไม่ให้เร็วเกินไป โดยอาศัยยากั้นไฟฟ้าผ่าน AV node หากหัวใจห้องล่างเต้นเร็วและไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานานจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงและล้มเหลวตามมาได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคุมอัตราเต้นหัวใจขณะพักให้ไม่สูงกว่า 110 ครั้งต่อนาที ยาในกลุ่มนี้ได้แก่
- Beta-blockers เช่น Metoprolol Atenolol Bisoprolol
- Non-dihydropyridine calcium channel blockers ได้แก่ Verapamil Diltiazem
- Digoxin ยาตัวนี้ไม่ใช้เป็นทางเลือกหลัก ควรพิจารณาเลือกใช้ต่อเมื่อใช้ยา Beta-blockers หรือ Non-dihydropyridine calcium channel blockers ไม่ได้ หรือใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย
- Amiodarone เป็นยาควบคุมทั้งอัตราและจังหวะการเต้นหัวใจ มักนิยมให้ผ่านทางหลอดเลือดดำกรณีที่มีอัตราเต้นหัวใจที่เร็วกว่าปกติ
การคุมจังหวะการเต้นหัวใจ
การปรับจังหวะการเต้นหัวใจทำได้ด้วย 2 วิธีหลัก คือ
- การรักษาด้วยยา มียาหลายตัวที่สามารถปรับจังหวะการเต้นหัวใจให้กลับมาเต้นปกติได้ ประสิทธิภาพของยาแต่ละตัวต่างกัน ยากลุ่มนี้ได้แก่ Flecainide Propafenone Amiodarone Dronedarone Dofetilide Ibutilide
- การช็อคด้วยไฟฟ้า
ข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องทำการคุมจังหวะโดยฉุกเฉินได้แก่ ผู้ป่วยที่มีสัญญาณชีพไม่คงตัว การเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน การเกิดหัวใจล้มเหลว ในขณะเกิดโรคหัวใจเต้นพริ้ว
การจี้รักษา
ข้อบ่งชี้ในการจี้รักษา คือ ผู้ป่วยที่ยังมีอาการจากโรคหัวใจเต้นพริ้วอยู่มาก แม้ว่าได้รับการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจห้องล่างแล้ว ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการควบคุมจังหวะให้ปกติแต่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา หรือมีผลข้างเคียงจากยา หรือไม่ประสงค์จะทานยา ในผู้ป่วยที่เป็น Paroxysmal AF อายุน้อย และไม่มีความผิดปกติของหัวใจที่ตรวจพบได้ หรือ ในผู้ป่วยที่มีหัวใจล้มเหลวหรือมีการทำงานของหัวใจห้องล่างซ้ายผิดปกติ การรักษาวิธีนี้แพทย์จะใส่สายสวนพิเศษสอดผ่านหลอดเลือดดำที่ขาหนีบภายใต้การระงับความรู้สึกโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อหาตำแหน่งสัญญาณไฟฟ้าหัวใจผิดปกติในผนังหัวใจ และใช้พลังงานความร้อนจี้ทำลายสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกตินั้น การจี้หัวใจมีหลายวิธี
การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
โรคหัวใจห้องบนเต้นระริกเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดและลิ่มเลือดอุดตันในสมองอย่างมาก เนื่องจากในภาวะนี้หัวใจห้องบนไม่สามารถบีบตัวผลักดันเลือดจากหัวใจห้องบนได้ จึงทำให้เกิดลิ่มเลือดได้ หากลิ่มเลือดในหัวใจเข้าสู่กระแสเลือด อาจก่อให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นระริกที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดระดับปานกลาง หรือ สูง แพทย์จะให้กินยาต้านการเกิดลิ่มเลือด การพิจารณาใช้ยาต้านการเกิดลิ่มเลือดในผู้ป่วยนั้นต้องพิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเลือดออกจากผลของยาด้วย ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกสูงอาจพิจารณาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมองด้วยวิธีอื่น
ยาต้านการเกิดลิ่มเลือดในปัจจุบันแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้
- Warfarin คือ ยา vitamin K dependent coagulation factors antagonist เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ใช้มานาน แต่มีข้อเสียคือ ไม่มีฤทธิ์คงตัวอาจต้องปรับขนาดยาเป็นประจำ ต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจประสิทธิภาพของยาเป็นประจำ มีการรบกวนผลของยาจากอาหารที่รับประทาน และมีปฏิกริยากับยาอื่นๆมาก
- NOACs (New oral anticoagulants) ป้จจุบันมียาต้านการแข็งตัวของเลือด ชนิดรับประทานที่มีการศึกษาวิจัยขึ้นใหม่สองกลุ่มใหญ่คือ กลุ่ม Direct thrombin inhibitor ได้แก่ Dabigatran (Pradaxa) อีกกลุ่มหนึ่งคือ Factor Xa inhibitors ได้แก่ Rivaroxaban (Xarelto) Apixaban (Eliquis) Endoxaban (Savaysa) ยาใหม่ทั้งสองกลุ่มนี้มีข้อดีกว่า Warfarin คือ ลดผลข้างเคียงที่ทำให้เลือดออกในสมอง ออกฤทธิ์เร็วเมื่อเริ่มทานยาและหมดฤทธิ์เร็วเมื่อหยุดยา มีฤทธิ์คงตัวไม่ต้องปรับขนาดยา ไม่ต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจประสิทธิภาพของยา ไม่มีการรบกวนผลของยาจากอาหารที่รับประทาน และมีปฏิกริยากับยาอื่นน้อยกว่า Warfarin ข้อเสียคือเป็นยาใหม่ ยามีราคาแพง ใช้ยากในผู้ป่วยที่หน้าที่ไตบกพร่อง และยังไม่มียาแก้ฤทธิ์หากเกิดภาวะเลือดออกมากกระทันหัน